บทความธรรมมะ
วิปัสสนากรรมฐานเป็นธรรมปฏิบัติขั้นสูงสุด
โดย พระครูภาวนาวิหารธรรม วิ.
วิปัสสนากรรมฐานเป็นธรรมปฏิบัติขั้นสูงสุด จุดมุ่งหมายเพื่อดับกิเลสและดับทุกข์สิ้นเชิง มีสอนและปฏิบัติเฉพาะในพระพุทธศาสนาเท่านั้น พระพุทธศาสนาสอนการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเพื่อให้รู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งที่มากระทบจิตผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ กล่าวคือความรู้สึกที่เห็น ได้ยิน รู้กลิ่น รู้รส รู้สัมผัส และสภาวะความรู้สึกนึกคิดทางใจ มิให้สิ่งเหล่านี้เป็นฐานให้กิเลสปรุงแต่งนำไปสู่ความทุกข์ได้อีก ดังนั้น วิปัสสนากรรมฐานจึงสามารถดับหรือละกิเลสได้ เพราะการ ละ กิเลสกล่าวคือ ละตัณหา อุปาทาน มิให้ปรุงแต่งสิ่งทั้งหลายดังกล่าวข้างต้น ในขณะที่สิ่งนั้น ๆ กำลังเกิดขึ้นอยู่ที่ทวารทั้ง ๖ ท่านกล่าวว่าเป็นการปฏิบัติตรงและปฏิบัติชอบในกิจของอริยสัจ ๔ นั่นคือ เห็นความทุกข์ , เหตุให้เกิดทุกข์ ,ความก้าวล่วงทุกข์เสียได้ , และหนทางเครื่องถึงความระงับทุกข์ ดังนี้
กิเลสมี ๓ ระดับคือ
๑. กิเลสอย่างหยาบ ทำให้เกิดการแสดงออกทางกาย หรือทางวาจาให้ปรากฏแก่บุคคลภายนอก รับรู้อกุศลกรรมนั้นๆ ได้ กิเลสอย่างหยาบนี้ละได้ด้วยศีล
๒. กิเลสอย่างกลาง เมื่อเกิดขึ้นจะแสดงออกอยู่ภายนอกจิตใจ โดยที่บุคคลภายนอกอาจไม่สังเกตรู้ได้ ได้แก่ความยินดีพอใจ ความพยาบาท ความฟุ้งซ่านรำคาญใจเป็นต้น กิเลสอย่างกลางนี้ละด้วยสมาธิ
๓. กิเลสอย่างละเอียด เรียกว่าอนุสัย เป็นกิเลสที่ถูกสั่งสมนอนเนื่องอยู่ภายใน แม้แต่ตัวเองก็ไม่อาจรู้ได้จนกว่าจะมี อารมณ์ที่ถูกตรงกับปมของอนุสัยนั้นจึงเกิดความไหวตัวแสดงออกมาเป็นกิเลสอย่างกลางหรือพลุ่งพล่านจนระงับไม่ได้เป็นกิเลสอย่างหยาบแล้วแต่กรณี อนุสัยกิเลสนี้ท่านกล่าวว่าละได้ด้วยปัญญา
ดั้งนั้นกิเลสทั้งสามคือ อนุสัยกิเลส กิเลสอย่างกลาง และกิเลสอย่างหยาบ สามารถละได้ด้วยปัญญานั่นเอง พุทธศาสนาเป็นศาสนาเดียวที่สอนให้ใช้ปัญญาในการละอนุสัยกิเลส กล่าวคือปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริงต่อสิ่งที่กำลังกระทบใจ ผ่านทางทวารทั้ง ๖ ดังกล่าวสิ่งที่มากระทบใจผ่านทางทวารทั้ง ๖ นี้ ที่แท้ก็คือสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันนั่นเอง ซึ่งตั้งแต่เกิดมาเราไม่เคยศึกษาเรียนรู้สภาวะที่แท้จริงของสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นเพียงการเห็น ได้ยิน รู้กลิ่น รู้รส รู้สัมผัส และรู้ความนึกคิด ความรู้สึกทางใจที่มีต่อโลกภายนอก และโลกภายในเท่านั้นเอง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมดา กล่าวคือ เกิด - ดับ เป็นไปตามเหตุปัจจัย จึงมี ลักษณะที่เปลี่ยนแปลง (อนิจจัง) ไม่คงทนถาวร (ทุกขัง) และไม่อยู่ในบังคับบัญชาของใครเป็นไปตามธรรมชาติของเหตุปัจจัย (อนัตตา) รวมเรียกว่า ไตรลักษณ์ อันเป็นสามัญลักษณะของสิ่งทั้งปวง
การใช้สติสัมปชัญญะพิจารณาสังเกตในสรรพสิ่งที่ใจกำลังรับรู้ (แยกตามฐานที่ปรากฏเป็น ๔ ฐาน คือ กาย เวทนา จิต และธรรม) อย่างติดต่อ ต่อเนื่อง ด้วยการวางใจเป็นกลางประกอบด้วยศรัทธา ที่สมดุลกับปัญญาและวิริยะที่สมดุลกับสมาธิ จนกระทั่งเห็นไตรลักษณะดังกล่าวข้างต้นในทุกสรรพสิ่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า นำไปสู่ความเบื่อหน่าย คลายความยึดติดในสิ่งนั้นๆ เป็นการลดละอนุสัยกิเลสให้น้อยลงไปตามลำดับวิธีการปฏิบัติเช่นนี้ท่านเรียกว่า การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน กล่าวคือเป็นการเห็นความจริงของสิ่งที่จะก่อให้เกิดกิเลสนั้นเสียก่อน กิเลสจึงไม่อาจเกิดขึ้นได้ ทำให้อนุสัยที่สั่งสมอยู่ไม่ได้รับเชื้อที่จะเติมเข้าไป ย่อมจะหดตัวเบาบางลง อนุสัยกิเลสยิ่งลดน้อยลง ความเบากาย เบาจิต ยิ่งมีมากขึ้น คือความทุกข์น้อยลงไปตามลำดับ จนถึงความดับทุกข์ได้อย่างเด็ดขาดเป็นสมุทเฉทปหาน ซึ่งเป็นสภาวะทางจิตที่สามารถเห็นแจ้งประจักษ์ได้เองดังที่ท่านตรัสว่า ธรรมะในพระพุทธศาสนานี้เป็น สันทิฏฐิโก การปฏิบัติธรรมเพื่อมุ่งละอนุสัยกิเลส คือ อวิชชา ตัณหา อุปาทานทั้งปวงนี้ เป็นการปฏิบัติ ศีลสิกขา จิตตสิกขา และปัญญาสิกขาไปพร้อมกัน เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา อันเป็นการกระทำกิจที่ถูกต้องและเป็นการปฏิบัติชอบในกิจของอริยสัจ ๔ ในข้อที่ว่าอริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นกิจที่ควรเจริญ สมดังที่ท่านกล่าวว่า วิปัสสนากรรมฐานเป็นธรรมปฏิบัติขั้นสูงสุดดังนี้
เพราะในศาสนาอื่นมีสอนเฉพาะศีล เพื่อละกิเลสที่แสดงออกทางกาย ทางวาจา และสอนสมาธิ เพื่อละกิเลสที่แสดงออกทางใจ โดยที่อาสวะกิเลสยังไม่สามารถละได้ดังนั้นจึงเป็นการปฏิบัติธรรมในระดับโลกียะเท่านั้น ไม่สามารถออกไปจากวังวนของสังสารวัฏได้เลยเพราะยังจะต้องมีทุกข์ คือความโศกเศร้า ร่ำไรรำพัน ทุกข์กาย ทุกข์ใจและความคับแค้นใจด้วยประการต่างๆ อยู่ตลอดไปไม่มีอันจบสิ้นได้เลย
หลวงพ่อพระครูภาวนาวิหารธรรม วิ.
พระวิปัสสนาจารย์ โพธิปักขิยธรรมสถาน
จากหนังสือ : ของฝากจากพระอาจารย์มหาเหล็ก จนฺทสีโล